หมวดหมู่ : จิตวิทยา การพัฒนาตัวเอง ,  พัฒนาความคิด การใช้ชีวิต , 
แบรนด์ : DOT
Share
ผู้เขียน วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม
จำนวนหน้า 232 หน้า
เพราะชีวิตที่แท้จริงของคนเราก็คือการได้ใช้ชีวิตในจุดที่เหมาะสมกับความเป็นตัวเรา
มากเท่าที่เราเป็น ไกลเท่าที่เราเอื้อมถึง และไม่หนักหนาเกินกว่าที่เราจะแบกรับไหว
อะไรที่มากเกินกว่านั้น นับว่าเป็นภาระมากกว่าจะเรียกว่าการใช้ชีวิต
คำนำสำนักพิมพ์
หนังสือแนวความเรียงหรือบันทึกความคิด มุมมอง และความรู้สึก เป็นอีกแนวที่สำนักพิมพ์ DOT ยังสนุกกับการคัดเลือกมานำเสนอคนอ่านอยู่เสมอ เพราะเราเชื่อว่าแต่ละคนมีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องราวรอบตัวหรือเรื่องราวในชีวิตที่แตกต่างกัน มองคนละมุมก็สะท้อนความคิดเห็นกันออกมาคนละมุม ซึ่งถือเป็นความสวยงามที่เราจะได้เห็นมุมมองของชีวิตที่หลากหลายไปด้วย
'Only Time Will Tell' เป็นหนังสือรวมความเรียงอีกเล่มที่เราอยากเลือกมานำเสนอ หลังจากที่หนังสือเล่มนี้ขาดตลาดไปนานหลายปี และมีเสียงเรียกร้องจากคนอ่านให้พิมพ์ซ้ำมาโดยตลอด หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2559 และนำกลับมาตีพิมพ์อีกครั้งในรอบแปดปีโดยสำนักพิมพ์ DOT
นี่คือความเรียงหรือบทบรรณาธิการที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ ระหว่างชีวิต ความคิด และโลกรอบตัว ที่เขียนและทำการคัดสรรมารวมเล่มโดยวิไลรัตน์ เอมเอี่ยม อดีตบรรณาธิการบริหาร a day BULLETIN (2008-2017) นิตยสารแจกฟรีรายสัปดาห์ที่ครั้งหนึ่งเคยจุดประกายให้คนติดตามอ่านกันจนแจกไม่พอ และบทบรรณาธิการหลายร้อยชิ้นในช่วงเวลานั้นก็ถูกนำไป รวบรวมและตีพิมพ์เป็นหนังสือขายดีอีกหลายเล่มตามมา ทั้ง 'If You Care Enough', 'Everybody Hurts', 'Lonely Me, Lonely You' (ทั้งหมดพิมพ์กับสำนักพิมพ์ a book), 'From Time to Time', 'Only Time Will Tell' และ 'Left Behind: เมื่อโลก ทิ้งเร าไว้ที่เดิม' (พิมพ์กับสำนักพิมพ์ BUN Books)
บทบรรณาธิการในหน้านิตยสารเคยเป็นพื้นที่สื่อสารความคิดของบรรณาธิการนิตยสารในยุคหนึ่ง ถ้าให้เทียบยุคสมัย บทบรรณาธิการในยุคนั้นก็คือเพจของผู้นำทางความคิดหรืออินฟลูเอ็นเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ทั้งหลายในยุคนี้ ซึ่งแต่ละคนก็มีน้ำเสียง มุมมอง และวิธีเล่าที่เข้าถึงคนอ่านได้แตกต่างกันไป แน่นอนว่ายังมีวิธีและพื้นที่ในการเล่าเรื่องอีกมากมายที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่เราเชื่อว่าการอ่านมุมมอง ของผู้คนผ่านหนังสือยังเป็นวิธีที่จะทำให้เราได้ใช้เวลาครุ่นคิด และหยุดคิดเพื่ออ่าน 'ระหว่างบรรทัด' ได้ดีกว่าสื่อประเภทอื่น
สำนักพิมพ์ DOT ยังคงพร้อมสนับสนุนนักเขียนและ นักเล่ าเรื่องที่อยากนำเสนอมุมมองที่น่าสนใจและหลากหลาย เพื่อให้ความคิดของแต่ละคนและหนังสือแต่ละเล่ม 'เชื่อมจุด' แต่ละจุดที่เรายืน ให้กลายเป็นภาพของสังคมที่รักการอ่านและ มีหนังสือดีๆ เป็นพลังในการใช้ชีวิตต่อไป ด้วยความเคารพและขอให้รื่นรมย์กับการอ่าน
สำนักพิมพ์ DOT
คำนำผู้เขียน
ในที่สุดกาลเวลาก็พาเรามาถึงวันที่ 'Only Time Will Tell' มีการพิมพ์ซ้ำเป็นครั้งที่สองเสียที ถือว่าเป็นเวลาที่ห่างจาก เล่มแรกนานถึงแปดปี! ต้องขอบคุณคนอ่านที่ยังติดตามถามไถ่ว่าเมื่อไหร่จะพิมพ์ซ้ำ จะตอบว่า Only Time Will Tell ก็เกรงใจ แต่เอาเป็นว่าบางเรื่องก็ต้องรอเวลาและบางเวลาเราต้องรอ เรื่องที่น่าสนใจเพียงพอที่จะหยิบขึ้นมาบอกเล่าเช่นกัน
ผู้เขียนต้องแจ้งให้ทราบว่าฉบับพิมพ์ซ้ำที่เป็น New Edition ครั้งนี้มีการปรับปรุงเนื้อหาใหม่ค่อนข้างมาก ทั้งการตรวจแก้และปรับปรุงรายละเอียดใหม่ วางลำดับเนื้อหาในแต่ละบทใหม่ทั้งหมด ตัดบางบทที่ไม่เหมาะสมกับยุคสมัย และเพิ่มบทใหม่ที่ไม่ได้เอาไปรวมไว้ในฉบับพิมพ์ครั้งที่แล้ว ที่สำคัญเพื่อเป็นการขอบคุณทุกคนที่รอการพิมพ์ซ้ำกันมายาวนาน ผู้เขียนเลยเขียนตอนใหม่เพิ่มไปทั้งหมด 5 ตอนในช่วงท้ายเล่ม ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ไม่มีการตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อน และเน้นไปที่เรื่องเกี่ยวกับ 'แมว' โดยเฉพาะ เพราะแมวเป็นอีกสิ่งมีชีวิตที่เพิ่มเข้ามาแบบงอกไม่หยุดในสมการของความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นสมการที่จะตอบคำถามหลายๆ เรื่องในชีวิตไม่ได้เลย ถ้าไม่มีแมวเป็นตัวแปรสำคัญ
Only Time Will Tell เป็นหนังสือที่มีคนนำไปแนะนำ บอกต่อ และทำคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดียอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งผู้เขียนรู้สึกขอบคุณเสมอที่มีคนคิดถึงหนังสือเล่มนี้ ที่สำคัญก็คือดีใจที่ทุกตัวอักษรและทุกข้อความในเล่มยังคงสื่อสารกับ ผู้คนผ่านก าลเวลาจากยุคสมัยหนึ่งมาจนถึงปัจจุบัน เช่น
"คำสัญญาไม่ใช่แค่คำพูดลอยตามลม แต่คำสัญญาสามารถเข้าไปฝังในใจของคนฟังแล้วก่อตัวเป็นความหวัง ดังนั้นเมื่อถึงจุดหนึ่งที่เราทำลายคำสัญญา เราจึงไม่ได้แค่ ทำลายความหวังของคนอื่น แต่กำลังทำลายตัวเองด้วย เพราะ มันทำลายคนที่เราควรจะเป็น...แต่ไม่ได้เป็น" จากเรื่อง When You Make a Promise
"เมื่อชีวิตต้องดำเนินต่อไป คนหนึ่งห่างหาย วันเวลาก็พาผู้คนอีกมากมายเข้ามาแทนที่ ไม่มีกฎของชีวิตข้อไหนกำหนดให้เราต้องตามหาทุกคนที่หายไป เพราะทุกวันนี้ผู้คนในชีวิต ก็มีมากพออยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่เราย่อมเลือกรักษาความสัมพันธ์กับผู้คนที่มีอยู่ในวันนี้ มากกว่าจะหันกลับไปมองว่า มีใครบ้างที่ตกหล่นไปจากขบวนรถไฟสายที่ชื่อว่าชีวิต"
"อย่าหวังเลยกับความพร้อมและสมบูรณ์แบบในชีวิตคน ไม่พร่องตรงนี้ก็เสียหายตรงนั้น ชีวิตที่น่าพอใจอาจเป็นแค่การมีใครสักคนที่ใส่ใจซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอให้แก่กัน และเข้ามาช่วยกันทำให้วันธรรมดาของใครสักคนมีความหมายและไม่อาจลืม" จากเรื่อง We Need to Get a Fix
ระหว่างที่นั่งอ่านและตรวจแก้ต้นฉบับของหนังสือเล่มนี้ อีกครั้งผู้เขียนอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในแง่มุมที่เปลี่ยนแปลงไปมากมาย เช่น หมาแมวที่เคยเลี้ยงไว้แค่สามตัวในตอนนั้น หันมาดูตอนนี้ก็ปาเข้าไปเจ็ดตัว (งอกเร็ว ยิ่งกว่าเห็ด) บ้านที่เคยอยู่ตอนนี้ก็ย้ายออกมาอยู่ที่ใหม่แล้ว ความสัมพันธ์กับผู้คนในชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลา บางคนยังอยู่ในชีวิต บางคนจากไปแล้ว และกับบางคนที่แม้ยังคงพบเจอกัน แต่ความสัมพันธ์ที่ดีก็ไม่มีวันหวนคืนกลับมาอีก หลายเรื่องจึงเป็นเรื่องที่ไม่เคยเข้าใจและยังหาคำตอบไม่ได้ แต่ผู้เขียนก็เติบโตมากพอที่จะเข้าใจว่าทุกเรื่องจะมีคำตอบของมัน...เมื่อถึงเวลาไม่ต้องเร่งรัดหรือเร่งเร้าเอา คำตอบอะไรในวันที่ไม่มีคำตอบในชีวิต แต่หาทางไปเท่าที่มันยังมีทาง และวันหนึ่งเราอาจรู้สึกขอบคุณชีวิตก็ได้ที่ไม่ให้คำตอบในวันที่หัวใจเราอาจไม่พร้อมรับ
บางครั้งคำตอบที่เราไม่คิดว่าจะรู้ จะมาในวันที่เราพร้อมจะรับรู้อย่างเข้าใจและยอมรับได้อย่างยินดี
'ไม่มีใครให้คำตอบเราได้นอกจากเวลา' ยังเป็นข้อความนี้เองที่ไม่ว่าหนังสือเล่มนี้จะพิมพ์เป็นครั้งที่เท่าไหร่ เราก็ยังจะเขียนเหมือนเดิม
ด้วยรักและคิดถึงคนอ่านในทุกๆ วันที่ยังเขียนหนังสือ
วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม